ความรอด
ความบาปของเราทำให้เราแยกออกจากพระเจ้า นั่นหมายความว่าเมื่อเราเสียชีวิตเราจะไม่สามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ พระเยซูทรงรับโทษแห่งบาปแทนเราเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แทนเราบนไม้กางเขน เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอดแล้วเราได้รับชีวิตนิรันดร์ (กิจการของอัครทูต 4:12, เอเฟซัส 2:8).
ความเชื่อ
คือการไว้วางใจและมีความมั่นใจในพระเจ้า การที่เราเชื่อในบางสิ่งแม้เรามองไม่เห็น (ฮีบรู 11:1).
พระคุณ
แม้เราสมควรได้รับการลงโทษจากพระเจ้า พระเจ้ายังทรงรักเราและให้อภัยแก่เรา อีกทั้งยังเยียวยาเราด้วย (โรม 5:8).
ความบาป
ทุกความคิด คำพูด และการกระทำที่ผิดต่อพระเจ้า ผู้อื่น และตัวเราเอง (โรม 3:23, 6:23).
การกลับใจ
การเปลี่ยนจากการเดินในทางของเราเองเพื่อหันไปเดินในทางพระเจ้า การเปลี่ยนความคิดและกิริยาของเรา (2 โครินธ์ 7:9-10).
(10) ความเศร้าเสียใจอย่างที่อยู่ในทางพระเจ้าส่งผลให้กลับใจใหม่อันนำไปสู่ความรอดและไม่เหลือความเสียใจไว้ ส่วนความเศร้าเสียใจอย่างโลกนำไปสู่ความตาย
ความชอบธรรม
การที่เราถูกต้องกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (โรม 3:22, ยากอบ 2:23).
การอธิษฐาน
การสนทนากับพระเจ้า (มัทธิว 6:5-13, 1 เธสะโลนิกา 5:17).
(6) เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ไม่ปรากฏแก่ตา แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำอย่างลับๆ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน
(7) และเมื่อท่านอธิษฐาน ไม่ต้องพูดพร่ำซ้ำซากเหมือนคนต่างศาสนา เพราะเขาคิดว่าพูดมากๆ พระจึงจะได้ยิน
(8) อย่าทำอย่างเขาเลยเพราะพระบิดาของท่านทรงทราบว่าท่านต้องการอะไรก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์
(9) “ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ
(10) ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์
(11) ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้
(12) ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน
(13) และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย
การรับบัพติศมาในน้ำ
การจุ่มมิดในน้ำเพื่อเป็นแสดงออกถึงความเชื่อภายในที่มีต่อองค์พระเยซูและเป็นการประกาศว่าตัวเองเป็นคริสเตียนแล้ว (กิจการของอัครทูต 2:38, โรม 6:3-4).
(4) ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายโดยพระเกียรติสิริของพระบิดา
คริสตจักร
กลุ่มคนที่พบปะกันเพื่อหนุนใจกันและกันและสรรเสริญพระเจ้า (มัทธิว 18:20, ฮีบรู 10:25).
ตรีเอกานุภาพ
เอกภาพของสามในหนึ่ง มีพระเจ้าองค์เดียว แต่มีสามบุคคลในพระเจ้าคือ พระบิดา พระบุตร (พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัทธิว 28:19).
การฟื้นคืนพระชนม์
สามวันหลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์พระองค์ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (มาระโก 16:1-8, 1 โครินธ์ 15:12-32).
(2) เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นพวกเขามายังอุโมงค์
(3) และถามกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินจากปากอุโมงค์?”
(4) แต่เมื่อมองไปก็เห็นหินก้อนนั้นซึ่งใหญ่มากถูกกลิ้งออกไปแล้ว
(5) เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ทางขวาพวกนางก็ตกใจกลัว
(6) ผู้นั้นกล่าวว่า “อย่าตื่นตกใจไปเลย พวกเจ้ามาหาพระเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว! พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่เขาวางพระศพเถิด
(7) จงไปบอกพวกสาวกรวมทั้งเปโตรว่า ‘พระองค์กำลังเสด็จไปแคว้นกาลิลีก่อนหน้าพวกท่าน ท่านจะพบพระองค์ที่นั่นดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้’ ”
(8) ผู้หญิงเหล่านั้นตกตะลึงกลัวจนตัวสั่น จึงพากันออกจากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกับใครเพราะกลัว
(13) ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระคริสต์เองก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากตายด้วย
(14) และถ้าพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย คำเทศนาของเราก็ไร้ค่าและความเชื่อของท่านก็ไร้ค่า
(15) ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นว่าเราเป็นพยานเท็จเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย แต่ถ้าความจริงคือพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา
(16) เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน
(17) และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน
(18) แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย
(19) ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง
(20) แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป
(21) เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตายก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน
(22) เพราะว่าในอาดัมคนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น
(23) แต่จะเป็นไปตามลำดับคือ พระคริสต์ผู้เป็นผลแรก จากนั้นบรรดาคนของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา
(24) แล้วจุดจบก็มาถึงเมื่อพระองค์ทรงถวายอาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดา หลังจากที่ทรงทำลายเทพผู้ปกครองอาณาจักร เทพผู้ทรงอำนาจ และเทพผู้ทรงเดชานุภาพทั้งปวง
(25) เพราะพระองค์จะต้องครอบครองจนกว่าพระองค์จะได้สยบศัตรูทั้งสิ้นไว้ใต้พระบาทของพระองค์
(26) ศัตรูตัวสุดท้ายที่ต้องทรงทำลายคือความตาย
(27) เพราะพระองค์ “ได้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์” ที่ว่า “ทุกสิ่ง” อยู่ใต้พระองค์นี้เป็นที่ชัดเจนว่าไม่รวมถึงพระเจ้าเองผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์
(28) เมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้แล้ว พระบุตรเองจะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง
(29) เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร? ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมาเพื่อผู้ตาย?
(30) และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา?
(31) ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอนเหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่านในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(32) ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัสเพียงเพื่อเหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร? หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา “ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้เราก็ตายแล้ว”
อีสเตอร์
เกิดขึ้นช่วงประมาณเดือนมีนาคมหรือเมษายน วันอีสเตอร์คือวันที่เราจดจำและเฉลิมฉลองการสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์และความหมายของการฟื้นคืนพระชนม์ในชีวิตคริสเตียน (มัทธิว 26:1-28).
(2) “พวกท่านก็รู้ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและบุตรมนุษย์จะถูกมอบให้เขาตรึงตายที่ไม้กางเขน”
(3) ครั้งนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสในหมู่ประชาชนมาประชุมกันที่คฤหาสน์ของมหาปุโรหิตชื่อคายาฟาส
(4) และพวกเขาคบคิดกันหาอุบายที่จะจับพระเยซูมาฆ่าเสีย
(5) เขาพูดกันว่า “แต่อย่าลงมือในช่วงเทศกาลเลย มิฉะนั้นจะเกิดจลาจลในหมู่ประชาชน”
(6) ที่หมู่บ้านเบธานี ขณะพระเยซูประทับอยู่ในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน
(7) หญิงคนหนึ่งถือผอบน้ำมันหอมราคาแพงมากเข้ามารินรดพระเศียรขณะที่พระองค์ทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหาร
(8) เมื่อเหล่าสาวกเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจจึงกล่าวว่า “ทำไมทำให้เสียของเปล่าๆ?
(9) น้ำมันหอมนี้ถ้าขายจะได้ราคาดี เอาเงินให้คนยากจนได้”
(10) พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ไปกวนใจหญิงนี้ทำไม? นางได้ทำสิ่งดีงามให้แก่เรา
(11) ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่ได้อยู่กับท่านเสมอไป
(12) ที่นางรินน้ำหอมนี้บนกายเราก็เพื่อเตรียมตัวเราสำหรับการฝังศพ
(13) เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่ว่าข่าวประเสริฐจะเผยแผ่ไปที่ใดๆ ทั่วโลก เขาจะเล่าขานถึงสิ่งที่หญิงนี้ได้ทำเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”
(14) แล้วยูดาสอิสคาริโอท หนึ่งในสาวกสิบสองคน ไปพบพวกหัวหน้าปุโรหิต
(15) ถามว่า “พวกท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้ามอบพระองค์ให้แก่ท่าน?” พวกเขาจึงนับเหรียญเงินสามสิบเหรียญส่งให้ยูดาส
(16) นับตั้งแต่นั้นยูดาสก็จ้องหาโอกาสที่จะมอบพระเยซูให้แก่คนเหล่านั้น
(17) วันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อเหล่าสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์ทรงประสงค์จะให้เราจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?”
(18) พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปหาคนหนึ่งในเมือง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์ตรัสดังนี้ว่าใกล้จะถึงกำหนดเวลาของเราแล้ว เราจะฉลองปัสการ่วมกับเหล่าสาวกของเราที่บ้านของท่าน’ ”
(19) ดังนั้นเหล่าสาวกจึงไปทำตามที่พระเยซูทรงบัญชาและจัดเตรียมปัสกา
(20) พอพลบค่ำพระเยซูทรงนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะอาหารร่วมกับสาวกสิบสองคน
(21) ระหว่างรับประทานอาหารกันอยู่นั้นพระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา”
(22) เหล่าสาวกเสียใจมากต่างทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?”
(23) พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หยิบอาหารจุ่มในชามเดียวกับเราคือผู้ที่จะทรยศเรา
(24) บุตรมนุษย์จะไปตามที่เขียนไว้ แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทรยศบุตรมนุษย์! ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาเลยยังจะดีกับตัวเขามากกว่า”
(25) แล้วยูดาสผู้ที่จะทรยศต่อพระองค์ทูลว่า “รับบี ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?” พระเยซูตรัสตอบว่า “คือท่านเอง”
(26) ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้เหล่าสาวกและตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา”
(27) แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วยื่นให้กับพวกเขาและตรัสว่า “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิด
(28) นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก
คริสต์มาส
25 ธันวาคม วันที่เราฉลองการประสูตรของพระเยซูคริสต์ วันที่พระเจ้าเสด็จลงมาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา (ลูกา 1:26-80, 2:1-40).
(26) ในเดือนที่หกพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี
(27) ให้มาหาหญิงพรหมจารีชื่อมารีย์คู่หมั้นของโยเซฟผู้สืบเชื้อสายมาจากดาวิด
(28) ทูตสวรรค์นั้นไปหามารีย์และกล่าวว่า “หญิงเอ๋ย พระเจ้าทรงโปรดปรานเธอยิ่งนัก! องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเธอ”
(29) มารีย์ฟังคำนี้แล้วก็วุ่นวายใจนักและสงสัยว่าการทักทายเช่นนี้หมายถึงอะไร
(30) แต่ทูตนั้นกล่าวว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เธอเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
(31) เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู
(32) พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์
(33) และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย”
(34) มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?”
(35) ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้นองค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมาจะได้ชื่อว่า พระบุตรของพระเจ้า
(36) แม้แต่เอลีซาเบธญาติของเธอยังจะได้บุตรชายทั้งๆ ที่ชราแล้ว และนางซึ่งใครๆ ว่าเป็นหมันก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว
(37) เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า”
(38) มารีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านกล่าวเถิด” แล้วทูตสวรรค์นั้นก็จากนางไป
(39) ในเวลานั้นมารีย์เตรียมตัวและรีบรุดไปยังเมืองหนึ่งในแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย
(40) นางเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และกล่าวทักทายเอลีซาเบธ
(41) เมื่อเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์ ทารกในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
(42) จึงร้องเสียงดังว่า “ในหมู่สตรีท่านได้รับพระพรและลูกที่ท่านจะคลอดออกมาก็ได้รับพระพร!
(43) แต่เหตุใดข้าพเจ้าจึงได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนี้ที่มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้ามาเยี่ยมข้าพเจ้า?
(44) ทันทีที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงทักทายของท่าน ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็ดิ้นด้วยความชื่นชมยินดี
(45) ความสุขมีแก่หญิงที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับนางนั้นจะสำเร็จ!”
(46) มารีย์จึงกล่าวว่า “จิตใจของข้าพเจ้าสรรเสริญยกย่องพระเจ้า
(47) และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
(48) เพราะพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ ฐานะอันต่ำต้อยของผู้รับใช้ของพระองค์ นับแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผู้ได้รับพร
(49) เพราะว่าองค์ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อข้าพเจ้า พระนามของพระองค์บริสุทธิ์
(50) พระเมตตาของพระองค์แผ่มาถึงบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ทุกชั่วอายุสืบไป
(51) พระองค์ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้ผู้ที่ผยองอยู่ในส่วนลึกของความคิดกระจัดกระจายไป
(52) พระองค์ทรงปลดเจ้านายลงจากบัลลังก์ แต่ทรงยกผู้ต่ำต้อยขึ้น
(53) พระองค์ทรงให้ผู้หิวโหยอิ่มเอมด้วยสิ่งดี แต่ทรงส่งคนมั่งมีไปมือเปล่า
(54) พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ทรงไม่ลืมที่จะเมตตา
(55) ต่ออับราฮัมและวงศ์วานของเขาตลอดไป ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา”
(56) มารีย์พักอยู่กับเอลีซาเบธราวสามเดือนแล้วจึงกลับบ้าน
(57) เมื่อถึงกำหนดคลอด เอลีซาเบธก็ให้กำเนิดบุตรชาย
(58) ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงความเมตตายิ่งใหญ่แก่นาง พวกเขาก็มาร่วมยินดี
(59) ในวันที่แปดพวกเขามาร่วมพิธีเข้าสุหนัตของทารกนั้น และพวกเขากำลังจะตั้งชื่อให้ทารกนั้นว่าเศคาริยาห์ตามบิดา
(60) แต่มารดาของเขาท้วงติงว่า “ไม่ได้! จะต้องเรียกเด็กคนนี้ว่ายอห์น”
(61) พวกเขาบอกนางว่า “ในหมู่ญาติของท่านไม่มีใครใช้ชื่อนั้น”
(62) แล้วพวกเขาทำท่าทางถามบิดาของทารกว่าต้องการตั้งชื่อลูกว่าอะไร
(63) เขาจึงขอแผ่นกระดานมาเขียนลงไปว่า “ชื่อของเขาคือยอห์น” สร้างความประหลาดใจแก่คนทั้งหลาย
(64) ทันใดนั้นปากของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็หายติดขัด แล้วเขาก็เริ่มกล่าวสรรเสริญพระเจ้า
(65) เพื่อนบ้านของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและผู้คนพากันโจษจันเรื่องนี้ทั่วแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย
(66) ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจและถามกันว่า “ต่อไปทารกนี้จะเป็นอย่างไรหนอ?” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา
(67) ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาก็เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพยากรณ์ว่า
(68) “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะพระองค์เสด็จมาไถ่ประชากรของพระองค์
(69) พระองค์ทรงชูเขาสัตว์แห่งความรอดสำหรับเรา ในพงศ์พันธุ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
(70) (ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ผ่านเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ในโบราณกาล)
(71) เป็นความรอดจากเหล่าศัตรู และจากเงื้อมมือของคนทั้งปวงผู้ชิงชังเรา
(72) เพื่อทรงสำแดงพระเมตตาแก่บรรพบุรุษของเรา และเป็นการรำลึกถึงพันธสัญญาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
(73) คือคำปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา
(74) เพื่อช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าศัตรู และให้เราสามารถรับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว
(75) ในความบริสุทธิ์และความชอบธรรมต่อหน้าพระองค์ตลอดวันคืนของเรา
(76) “ส่วนเจ้า ลูกของพ่อ เจ้าจะได้ชื่อว่าผู้เผยพระวจนะขององค์ผู้สูงสุด เพราะเจ้าจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางสำหรับพระองค์
(77) เพื่อให้ประชากรของพระองค์รู้ถึงความรอด ผ่านการทรงอภัยบาปของพวกเขา
(78) เพราะโดยพระเมตตาอันอ่อนโยนของพระเจ้าของเรา รุ่งอรุณจากฟ้าสวรรค์จึงมาเยือนเรา
(79) ส่องสว่างแก่บรรดาผู้อยู่ในความมืด และในเงาของความตาย เพื่อนำย่างเท้าของเราสู่ทางแห่งสันติสุข”
(80) ฝ่ายทารกนั้นก็เติบโตขึ้นมีความเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ และเขาอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารจวบจนมาปรากฏตัวแก่สาธารณชนอิสราเอล
(2) (นี่เป็นการขึ้นทะเบียนครั้งแรกในสมัยที่คีรินิอัสเป็นผู้ว่าการแคว้นซีเรีย)
(3) ทุกคนต่างไปยังเมืองของตนเพื่อขึ้นทะเบียน
(4) ดังนั้นโยเซฟจึงเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีขึ้นไปยังเบธเลเฮมเมืองของดาวิดในแคว้นยูเดีย เพราะเขาสืบเชื้อสายมาจากดาวิด
(5) เขาไปขึ้นทะเบียนที่นั่นกับมารีย์คู่หมั้นซึ่งกำลังตั้งครรภ์
(6) ขณะพวกเขาอยู่ที่นั่นก็ถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร
(7) นางให้กำเนิดบุตรชายหัวปี นางเอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้าเพราะในบ้านไม่มีที่ว่างให้พวกเขา
(8) และในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่งเฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน
(9) ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขาทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก
(10) แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวงสำหรับคนทั้งปวง
(11) ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
(12) นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”
(13) ทันใดนั้นมีชาวสวรรค์หมู่ใหญ่มาปรากฏพร้อมกับทูตสวรรค์องค์นั้นร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวว่า
(14) “ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขจงมีแก่มวลมนุษย์บนโลก ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน”
(15) เมื่อเหล่าทูตสวรรค์จากพวกเขากลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมและดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งแก่เรา”
(16) ดังนั้นพวกเขาจึงรีบรุดมาและพบมารีย์ โยเซฟ กับพระกุมารซึ่งนอนอยู่ในรางหญ้า
(17) เมื่อพวกเขาได้เห็นพระองค์แล้วก็กระจายข่าวเรื่องที่ทูตสวรรค์นั้นมาบอกเกี่ยวกับพระกุมาร
(18) และคนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสิ่งที่คนเลี้ยงแกะกล่าวแก่พวกเขา
(19) ส่วนมารีย์เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ
(20) คนเลี้ยงแกะกลับไปและยกย่องสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นซึ่งเป็นเหมือนที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งพวกเขาทุกประการ
(21) เมื่อครบแปดวันก็ได้เวลาที่พระกุมารต้องเข้าสุหนัต พวกเขาตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู ซึ่งเป็นชื่อที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ทรงปฏิสนธิ
(22) เมื่อครบกำหนดเวลาการชำระตัวของมารีย์ตามบทบัญญัติของโมเสสแล้ว โยเซฟกับมารีย์ก็นำพระกุมารมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
(23) (ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายหัวปีทุกคนต้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”)
(24) และถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือ “นกเขาหรือนกพิราบรุ่นสองตัว”
(25) มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เขาเป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขากำลังรอคอยเวลาที่ชนอิสราเอลจะได้รับการปลอบประโลมและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเขา
(26) พระวิญญาณได้ทรงสำแดงแก่เขาว่าเขาจะได้เห็นพระคริสต์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก่อนที่เขาจะตาย
(27) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเขามายังลานพระวิหาร เมื่อบิดามารดานำพระกุมารเยซูมาประกอบพิธีให้แก่พระองค์ตามธรรมเนียมที่บทบัญญัติกำหนดไว้
(28) สิเมโอนก็อุ้มพระกุมารและสรรเสริญพระเจ้าว่า
(29) “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต ดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ บัดนี้พระองค์ทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ไปอย่างเป็นสุข
(30) เพราะตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์
(31) ความรอดซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าประชากรทั้งปวง
(32) เป็นแสงสว่างเพื่อสำแดงแก่คนต่างชาติ และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์”
(33) บิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจในถ้อยคำที่เขากล่าวเกี่ยวกับพระกุมาร
(34) จากนั้นสิเมโอนอวยพรพวกเขาและกล่าวกับมารีย์มารดาของพระองค์ว่า “พระกุมารนี้ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสาเหตุของการล้มลงหรือลุกขึ้นของชาวอิสราเอลจำนวนมากและถูกกำหนดให้เป็นหมายสำคัญที่จะถูกต่อต้าน
(35) เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะถูกเปิดเผยและดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่านเองด้วย”
(36) ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา บุตรีฟานูเอลตระกูลอาเชอร์ นางชรามาก นางอยู่กินกับสามีได้เจ็ดปี
(37) แล้วเป็นม่ายมาจนถึงอายุ 84 ปี นางไม่เคยออกจากพระวิหารเลยทุกวันคืน เฝ้านมัสการ อดอาหาร และอธิษฐาน
(38) ขณะนั้นนางเข้ามาหาพวกเขาแล้วขอบพระคุณพระเจ้าและกล่าวถึงพระกุมารให้บรรดาผู้ที่รอคอยการไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง
(39) เมื่อโยเซฟกับมารีย์ได้ทำทุกอย่างครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาทั้งสองก็กลับมายังนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี
(40) และพระกุมารทรงเติบโตแข็งแรง เปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือพระองค์
คริสเตียน
ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ (1 โครินธ์ 11:1).
การประกาศข่าวดี
การแบ่งปันข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูและสิ่งที่พระองค์ได้ทำเพื่อเราและผู้อื่น (มัทธิว 28:18-20).
(19) ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาใน พระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
(20) สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”